เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๒๔ ต.ค. ๒๕๕๘

 

เทศน์เช้า วันที่ ๒๔ ตุลาคม ๒๕๕๘
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

อ้าว ตั้งใจฟังธรรมะเนาะ เราเกิดเป็นคนไง เกิดเป็นคนมาแล้วก็แสวงหานะ เขาถือลัทธิต่างๆ เขาว่าทุกศาสนาสอนคนให้คนเป็นคนดี เขาก็แสวงหาสัจธรรมของเขา แต่เราเกิดเป็นชาวพุทธไง เราเกิดเป็นชาวพุทธ เกิดมาพบพระพุทธศาสนา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปฏิญาณตนว่าเป็นพระอรหันต์ เวลาออกบิณฑบาตสมัยพุทธกาล เวลาท่านมีเวลา ท่านจะไปโต้แย้งกับเจ้าลัทธิต่างๆ ด้วยคุณธรรม

ฉะนั้น เวลาพระเราไปโต้แย้ง ไปโต้แย้งหมายความว่าสนทนาธรรม เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอก “เมื่อใดภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกาของเรายังไม่เข้มแข็ง สามารถกล่าวแก้คำจาบจ้วงของลัทธิต่างๆ ได้ เราจะไม่ยอมปรินิพพาน” ท่านวางศาสนาไว้จนเข้มแข็ง เวลาท่านจะปลงอายุสังขาร “มารเอย บัดนี้ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกาของเราเข้มแข็ง สามารถกล่าวแก้คำจาบจ้วงของลัทธิต่างๆ ได้ อีก ๓ เดือนข้างหน้าเราจะนิพพาน” นี่ไง เวลาพระกล่าวแก้ต่างๆ

เวลาเรากล่าวแก้ กล่าวแก้โดยผิดนะ เวทนา ๓ เวทนา ๒ เวทนา ๖ เวทนา ๑๘ อย่างนี้ เวลาพูดผิด เวลามาเฝ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า “โมฆบุรุษ เธอพูดอย่างนั้นได้อย่างไร โมฆบุรุษ” โมฆบุรุษคือพูดผิดไง โมฆบุรุษเห็นแก่ลาภ เห็นแก่สรรเสริญ เห็นแก่การยกย่องสรรเสริญของเขาไง ไม่เห็นแก่สัจธรรมไง

ถ้าสัจธรรม ธรรมะย่อมชนะอธรรม องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกไว้ว่าธรรมะย่อมชนะอธรรม ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่วแน่นอน แต่การทำคุณงามความดี การทำคุณงามความดี ความดีทำได้ยาก ทำความชั่ว ทำความพอใจของเรามันทำได้ง่าย มันไหลไปตามกิเลสตัณหาความทะยานอยาก

ทีนี้ทำความดีๆ ธรรมะย่อมชนะอธรรม ถ้าธรรมะย่อมชนะอธรรมนะ เวลาเราทำของเรา ธรรมะ สัจธรรม เราพยายามค้นคว้าของเรา แม้แต่สร้างวัดสร้างวาขึ้นมา ถ้ามันเป็นศีลธรรมวัฒนธรรม ชาวบ้านรอบวัดนั้นเขาก็มีความร่มเย็นเป็นสุข เขามีความอุ่นใจ เขามีความอบอุ่นของเขา นี่พูดถึงศีลธรรมวัฒนธรรมนะ ถ้าวัดนะ ถ้ามีข้อวัตรปฏิบัติ มีพระเป็นที่พึ่งอาศัย ชาวบ้านเขาก็ร่มเย็นเป็นสุขแล้ว แต่เราแสวงหามากกว่านั้นไง เราแสวงหา เรามาวัดมาวาขึ้นมาแล้ว เราทำบุญกุศลของเราแล้ว เราจะแสวงหาสัจธรรมในหัวใจของเรา เราจะประพฤติปฏิบัติขึ้นมาให้มีคุณธรรมในหัวใจของเรา

ธรรมะย่อมชนะอธรรม ถ้าธรรมะย่อมชนะอธรรม เวลาธรรมมันเกิด ศีล สมาธิ ปัญญามันเกิด อธรรมๆ นั่งสมาธิภาวนาโงกง่วง นั่งสมาธิภาวนามีแต่ความทุกข์ความยาก เวลาเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะมีแต่ความทุกข์ความเข็ญใจในหัวใจ

ความทุกข์ความเข็ญใจในหัวใจนะ มันไม่มีสิ่งใดพอใจเลย ไม่มีสิ่งใดพอใจ นั่นล่ะอธรรม นั่นคืออวิชชา นั่นคือตัณหาความทะยานอยาก นี่ไง เราต้องการตรงนี้ไง เราต้องการสิ่งที่ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เวลาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามันอยู่ที่หัวใจ การเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ เราก็พยายามศึกษากันในทางวิทยาศาสตร์ ทางวิทยาศาสตร์ว่าเกิด เกิดมาจากไหน มาอยู่เพื่ออะไร ตายแล้ว ตายแล้วไปไหนไง

แต่เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้ที่เกิดผู้ที่ตายคือหัวใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ตั้งแต่บุพเพนิวาสานุสติญาณ ตั้งแต่พระเวสสันดรไป การเวียนว่ายตายเกิดอย่างนั้น การสร้างอำนาจวาสนาบารมีอย่างนั้นถึงตัดแต่งพันธุกรรมอย่างนั้น พระโพธิสัตว์ได้สร้างคุณงามความดีมาอย่างนั้น ถ้าสร้างคุณงามความดีอย่างนั้น ทำแต่คุณงามความดีไง ทศชาติ ๑๐ ชาติสุดท้ายเป็นเตมีย์ใบ้ เป็นพระเจ้าสุวรรณสาม หาบพ่อหาบแม่ไว้บ่าซ้ายบ่าขวานะ หาบพ่อหาบแม่ไปตลอด เช็ดขี้เช็ดเยี่ยวพ่อแม่ตลอด นี่สร้างสมบุญญาธิการมาอย่างนั้น ตัดแต่งพันธุกรรมๆ

แต่ของเราเกิดมาภพชาติหนึ่ง เราทำหน้าที่การงา นเราก็บีบคั้น เราก็มีความทุกข์ความยากแล้วแหละ แต่เวาลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสร้างสมบุญญาธิการมาขนาดนั้น เพราะการสร้างสมบุญญาธิการ เรามองโดยทางวิทยาศาสตร์ อู้ฮู! ทั้งชีวิตเลยหรือ ทำอย่างนั้นอยู่ทั้งชีวิตเลย

ไม่ใช่ชีวิตเดียว ทำมาอย่างนั้น ๔ อสงไขย ๘ อสงไขย ๑๖ อสงไขย ทำมาอย่างนั้น องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพยากรณ์แล้วถึงจะได้เป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าข้างหน้า ถ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ายังไม่พยากรณ์ อย่างหลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นท่านก็ปรารถนาของท่าน แต่ท่านก็มาพลิกของท่าน ท่านมาพลิกของท่านว่าถ้าปรารถนาเป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไป ก็ต้องเวียนว่ายตายเกิดอย่างนี้ สร้างคุณงามความดีไปอีกอนาคตกาลข้างหน้า แล้วเวลาไปสำเร็จก็สำเร็จเป็นพระอรหันต์เหมือนกัน เป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นพระอรหันต์

แต่ถ้าในปัจจุบันนี้ถ้าเรามีธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอยู่ ถ้าเราประพฤติปฏิบัติของเรา ถ้าถึงที่สุดแห่งทุกข์มันก็เป็นพระอรหันต์เหมือนกัน แต่เป็นสาวกสาวกะไง สาวกสาวกะคือมันจะได้ในภพชาตินี้ ในปัจจุบันนี้ไง ก็เลยลา ลาพระโพธิสัตว์นั้น ถึงมาประพฤติปฏิบัติ

นี่เวลาท่านสร้างสมบุญญาธิการมันเวียนว่ายตายเกิดไปข้างหน้า ถ้าไปข้างหน้า การกระทำ ทำดีไง ธรรมะย่อมชนะอธรรม ธรรมะย่อมชนะอธรรม ถ้าเราทำคุณงามความดีของเรา ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว ทำดีต้องได้ดี แต่ดีมันมาช้ามาเร็ว แล้วทำดีของคน ทำดี เราทำดีกับใคร ถ้าทำดีกับพวกพาลชน ความดีของเรามันก็ขัดหูขัดตาเขา แต่เราก็ทำคุณงามความดีของเรา ต้องหลบต้องหลีกไง เพราะในวินัยพระนะ ถ้าเราไปถึงพระนะ ดูสิ ชาววัชชีบุตร เวลาเป็นสัทธิวิหาริกขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เขามีความเห็นผิด เขาเรี่ยไร ได้กหาปณะ คือได้เงินมา เวลาสวดปาฏิโมกข์ เขาเอาเงินมาทำบุญกัน ลงขันแล้วพระก็แบ่งกัน แล้วพระธุดงค์มา ไปเจอก็สภาพแบบนั้น

พอสภาพแบบนั้นนะ ชาวบ้านเขาเห็นแล้วเขาก็บอก บอกกับพระที่ธุดงค์มาบอกว่า ให้ฝากไปเฝ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าด้วยว่าพระที่นี่เขามีความเห็นผิดอย่างนี้ๆๆ

พระองค์นั้นก็รับปากแล้วไปเฝ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพอทราบข่าว ทราบข่าวว่าเป็นสิทธิวิหาริกของพระสารีบุตร จะให้พระสารีบุตรไปจัดการไง พระสารีบุตรบอก อู้ฮู! พวกนี้มันนักเลง นักเลงหัวไม้เขามีมวลชน อู๋ย! ไปแล้วมันจะ...

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกว่า สารีบุตรเธอจงไป แล้วเอาภิกษุไปเป็นพวก แล้วบอกให้พระชาววัชชีนั้นให้ออกจากพื้นที่ให้นั้น ให้กระจายนั้นไป

นี่เวลาพระที่เขานักเลงหัวไม้ต่างๆ มันมีมาตั้งแต่สมัยพุทธกาล มันมีมาตลอด แล้วเราไปอยู่สังคมอย่างนั้น ในธรรมวินัย ถ้าเขาทำสังฆกรรม เขาทำความผิดพลาดขึ้นมา ให้เราค้านไว้ในใจ เพราะว่าเราหัวเดียวกระเทียมลีบ เรามีความเห็นของเราที่ถูกต้องดีงาม แต่เราจะไปเผชิญกับมวลชน ไปเผชิญกับสังฆะที่เขามีความเห็นผิดอย่างนั้นไม่ได้ แล้วเราโต้แย้งไปมันก็เกิดความบาดหมาง ให้ค้านไว้ในใจ ให้ค้านไว้

เรามีปัญญา เราศึกษาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ธรรมะย่อมชนะอธรรม เรามีปัญญา เรามีความรู้ของเรา สิ่งนั้นมันเป็นความผิด แต่เราพูดไป เสียงส่วนใหญ่เวลาพูดไปในพระเราต้องเป็นฉันทามติ คือต้องทุกองค์เห็นเหมือนกันหมด ไม่มีเสียงข้างมากเสียงข้างน้อย เวลาทำสังฆกรรม ทำทุกอย่างต้องสาธุพร้อมกันเป็นฉันทามติหมด

ฉะนั้น ถ้าฉันทามติ เราจะไปโต้แย้ง มี ในพระเราถ้ามีปัญญาชน เขาบอกเขาต้องมีการเจรจา ในสงฆ์ต้องมีการหาเหตุหาผลกัน ไม่ลงกันหรอก

แต่ผู้ที่มีปัญญา ค้านไว้ในใจ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนไว้ว่าให้ค้านไว้ในใจ พอค้านไว้ในใจ สังฆกรรม สภาวะกรรม กรรมที่เกิดร่วมนั้นเราไม่รับรู้ด้วย แต่เขาทำของเขา เขาต้องได้กรรมของเขา ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว การกระทำทุกอย่างต้องมีเหตุมีผลทั้งหมด พันธุกรรมของจิตๆ ทั้งตั้งใจและไม่ตั้งใจก็แล้วแต่ ถ้ามีเจตนาความตั้งใจของเรา ทำคุณงามความดีของเราด้วยความตั้งใจของเรา อันนั้นชัดเจนมาก แต่เราทำความผิดพลาดของเราไป ดูสิ อกุศล เวลาทำไปโดยความพลั้งเผลอ แต่กรรมมันก็ให้ผลๆ การให้ผลมันแตกต่างกันไง ถ้าการให้ผลมันแตกต่างกัน นี่ไง ทำด้วยเจตนา แต่ทำด้วยความพลั้งเผลอ ทำโดยไม่ได้เจตนา แต่ทำอย่างไรมันให้ผลทั้งนั้นแหละ มันมีผลของมัน นี่ผลของกรรมมีตลอด ถ้าผลของกรรมมีตลอด เราค้านไว้ในใจ เราจะทำของเรา

ธรรมะย่อมชนะอธรรม พอชนะอธรรม ชนะตั้งแต่กิเลสตัณหาความทะยานอยากในหัวใจของเรานะ แต่ถ้ามันเป็นมิจฉาทิฏฐิ อธรรมอ้างว่าเป็นธรรมะ มันเป็นมิจฉาทิฏฐิ ความเห็นผิด เพราะความเห็นผิดของเรา เราศึกษาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่เรามีความเห็นผิด พอเห็นผิด เราก็เข้าใจว่าสิ่งนี้เป็น จินตนาการสร้างภาพขึ้นไป มันเป็นอย่างนั้น มันหลอกลวง หลอกลวง นี่อำนาจวาสนาของคนมันเป็นอย่างนี้ เวลาผิดพลาดไป ถ้าผิดพลาดไป ถ้าคนมีอำนาจวาสนานะ ฝืน แล้วละทิ้ง แล้วพลิกหัวใจเรากลับมา ถ้าฝืนแล้วละทิ้งอย่างนั้น แล้วพยายามฝืนทน มันเป็นไปได้ เวลาคนทำสมาธิแล้วได้สมาธิ เคยได้แล้วมันเสื่อมไป โหยหาเรียกร้องทั้งนั้นแหละ

นี่ก็เหมือนกัน ทีนี้ความเห็นของเราที่ผิด ความเห็นผิดมันประพฤติปฏิบัติไป มันถลำตัวไปแล้ว ถ้าถลำตัวไปแล้ว ส่วนใหญ่แล้วกิเลสมันถอนตัวไม่ขึ้น ไม่ขึ้นเพราะอะไร เพราะมันเสียดาย เสียดายว่าลงทุนลงแรงไปแล้วจะพลิกกลับมา มันไม่อยากทำ ถลำไปเรื่อยๆ แล้วถลำไปเรื่อยๆ แล้วมันไปไหนล่ะ มันก็ลงนรกอเวจีไปเรื่อยๆ

แต่ถ้ามันฝืนกลับมา ฝืนกลับมา ถ้าฝืนกลับมานะ มันก็เหมือนทางโลก เราทำอะไรผิดพลาดไปแล้วเราฝืนกลับมา มันเสียหน้าเสียตา คำว่า “เสียหน้าเสียตา” กิเลสมันอายอย่างนั้นแหละ แต่สิทธิความเป็นมนุษย์ มนุษย์ที่มีศักยภาพ มนุษย์ที่มีสติปัญญา มนุษย์ที่ฝืนมัน องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสรรเสริญนะ สรรเสริญผู้ที่ทำผิดแล้วสารภาพผิด เป็นผู้ที่มีสติมีปัญญา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสรรเสริญมาก ดูสิ พระเราเวลาปลงอาบัติๆ การปลงอาบัติคือการประจานความผิดของเรา ผู้ใดทำความผิดแล้วสำนึกได้ แล้วกลับตัว นี่แหละสัตบุรุษ นี่แหละคนดี มันเป็นความจริงอย่างนั้นจริงๆ เพราะมันให้ผลมหาศาลเลย เพราะผลอันหนึ่งมันต้องลงนรกอเวจีไป ผลอันหนึ่งไปนะ ถึงที่สุดแล้วติดคุกติดตาราง ถึงที่สุดแล้วมีแต่ความทุกข์ความยาก ถึงที่สุดแล้วในครอบครัวมีแต่ความระหองระแหง ถึงที่สุดแล้วในครอบครัวนั้นแตกแยก ผลของมัน

แต่ถ้าเราพลิกขึ้นมา เราพลิกกลับขึ้นมา ผลของมัน ความสงบร่มเย็นในครอบครัว ความเข้าใจกัน ความเห็นอกเห็นใจกัน ความอบอุ่นในครอบครัว ผลของมันมีความสุข ถ้ามันฝืนกลับมาได้ๆ นี่ธรรมะย่อมชนะอธรรม ธรรมะนี่แหละหล่อเลี้ยงหัวใจ ทำให้หัวใจนี้พัฒนาขึ้น ให้หัวใจมันดีขึ้น แต่มันอยู่ที่อำนาจวาสนาไง ถ้าอำนาจวาสนาของคน คนมีสติปัญญามันแยกแยะได้ อะไรควรและอะไรไม่ควร อะไรควร ถ้าสิ่งใดที่ไม่ควรทำ เราไม่ควรทำ

ดูพระเราสิ ต้องอาบัติเพราะมีความผิด ผิดจริงๆ นี่แหละ ต้องอาบัติเพราะความผิด ต้องอาบัติเพราะไม่รู้ ไม่รู้ ฝืนทำไปนะ ต้องควร ควรและไม่ควร ถ้าของที่ไม่ควรทำ ฝืนทำไป เป็นอาบัติทันทีเลย แต่ถ้าไม่ควรหรือไม่เข้าใจ วางแล้ว เพราะลังเลสงสัย ลังเลสงสัยทำก็ไม่ได้

ฉะนั้น สิ่งที่ทำไม่ได้ “อู๋ย! แสดงว่าพระทำอะไรไม่ได้เลย พระขยับไม่ได้เลย”

พระต้องมีอะไรล่ะ พระเรา ดูสิ พระเรา สิ่งที่ความเป็นอยู่ทางโลก สิ่งนี้เพราะพระเรา ถ้าพูดถึงเป็นเถรวาท ตามพระอรหันต์ ๕๐๐ องค์ที่พระกัสสปะทำสังคายนามา มันจะมีอะไรล่ะ ก็งานรื้อค้นในหัวใจไง งานของพระไง

ถ้างานของพระ เวลาอบรมสังฆาธิการ งานสังฆาธิการก็การซ่อมแซมบำรุงรักษา การบริหารจัดการ การบริหารจัดการมันก็เป็นเรื่องการบริหารจัดการทางโลกทั้งนั้นแหละ แต่ถ้าพระที่มีสติมีปัญญา พระที่ดี รักษาหัวใจของเราที่สะอาดบริสุทธิ์แล้ว สิ่งที่มันจะเกิดขึ้นมา ธรรมะย่อมชนะอธรรม

ถ้าสิ่งที่มีกรรมการ มีต่างๆ ถ้าเขามีความเห็นผิดของเขานะ ความเห็นผิดของเขา เขาเห็นแก่ตัวของเขา นั่นคือเขากอบโกยแต่บาปแต่กรรมของเขา ถ้าคณะกรรมการสิ่งที่ดี ผู้ที่มวลชนเป็นสิ่งที่เขามีสติปัญญา เขาเชิดชู เขาสรรเสริญของเขา มีพระดีๆ ที่เป็นเจ้าอาวาส แล้วเวลาเสียไปแล้วประชาชนรอบวัดเขาระลึกถึง ทำไมองค์นั้นท่านดีอย่างนั้นล่ะ ทำไมองค์นี้ไม่เอาไหนเลยล่ะ ระลึกถึงอยู่ตลอดเวลา นี่พูดถึงว่าสิ่งที่เขาได้เผชิญของเขา

ว่า “พระทำอะไรไม่ได้เลย ทำอะไรไม่ได้เลย”...ทำได้ ทำได้ทั้งนั้นแหละ แต่ทำได้ด้วยศีลด้วยธรรม ทำได้ด้วยคุณงามความดี คุณงามความดีเพราะอะไร เพราะหน้าที่ของพระ หน้าที่ของพระเดินจงกรม นั่งสมาธิภาวนา หน้าที่ของพระ ถ้ามันเอาหัวใจอันนั้นได้แล้วนะ หัวใจอันนั้น ดูสิ ไม่มีกิเลสตัณหาความทะยานอยากในหัวใจ มันจะมีสิ่งใดล่ะ สิ่งที่มีคุณค่าที่สุดคือคุณธรรมในใจนั้น แล้วถ้าคุณธรรมในใจนั้น “มารเอย เธอเกิดจากความดำริของเรา เราจะไม่ดำริถึงเจ้าอีกแล้ว เจ้าจะเกิดบนหัวใจเราไม่ได้เลย”

ในเมื่อไม่มีอคติ ไม่มีอคติ ไม่มีอกตัญญู ไม่มีสิ่งใดเลย แต่ความกระทำอันนั้นก็ทำเพื่อประโยชน์ของสังคม ประโยชน์โลกทั้งนั้นแหละ เพราะประโยชน์โลก ดูสิ ปัจจัยเครื่องอาศัย ปัจจัย ๔ ปัจจัย ๔ มันก็แค่ดำรงชีพเท่านั้นแหละ แล้วดำรงชีพด้วยความอบอุ่น ดำรงชีพด้วยคุณธรรม กับดำรงชีพไว้ด้วยความเศร้าหมอง ดำรงชีพไว้ด้วยความหวาดระแวง ดำรงชีพ ถ้าดำรงชีพด้วยความอบอุ่น ด้วยความสุข ความสงบ ความระงับ แล้วถ้าทางสังคมมันรู้ได้ไง มันรู้ได้ สิ่งรอบข้างเขารู้ได้ถึงความร่มเย็นเป็นสุข นี่ธรรมะย่อมชนะอธรรม

ฉะนั้น การจะประพฤติปฏิบัติธรรมมันมี มันมีความยุแหย่จากหัวใจ จากครอบครัวของมาร ตั้งแต่พญามาร ลูกมาร หลานมาร เหลนมาร มันยุมันแหย่ของมันนะ ทำอย่างนู้นจะได้อย่างนี้ ทำอย่างนี้จะได้อย่างนั้น ทำอย่างนู้นจะดีกว่าอย่างนี้ ทำอย่างนี้จะดี มันยุแหย่ไปตลอด แล้วเชื่อมันได้ไหม

นี่ไง แม้แต่กิเลสตัณหาความทะยานอยากมันยุแหย่อยู่แล้ว แล้วปฏิบัติไป ปฏิบัติไปสิ่งที่ไม่เคยรู้ไม่เคยเห็น ถ้าใครเคยรู้เคยเห็น ใครมีคุณธรรมแล้วจะไม่เกิดมานั่งอยู่นี่ ไอ้ที่มันเกิดมานั่งอยู่นี่เพราะอวิชชาทั้งนั้น เพราะความไม่รู้ถึงได้เกิดมานั่งอยู่นี่

ถ้านั่งอยู่นี่ เวลาทำคุณงามความดีก็ทำคุณงามความดีแบบโลก โลกียปัญญา ปัญญาของโลก ปัญญาของโลกก็ขวนขวายสร้างคุณงามความดีของเรา คุณงามความดีก็เกิดเป็นมนุษย์ เกิดเป็นมนุษย์เป็นอริยทรัพย์ เกิดเป็นมนุษย์เป็นทรัพย์อันประเสริฐ เกิดเป็นมนุษย์เป็นทรัพย์อันประเสริฐมาก เพราะเกิดเป็นมนุษย์ เพราะเกิดเป็นมนุษย์มีสิทธิเสรีภาพ ความเป็นมนุษย์ กฎหมายคุ้มครองดูแลรักษา เกิดเป็นสัตว์ ดูสิ สัตว์ แมลง ๗ วัน ๘ วัน มันตายแล้ว แล้วภพชาติหนึ่งมัน ๗ วัน ภพชาติหนึ่งเราร้อยปี เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ ใครจะเชื่อไม่เชื่อมันเป็นสิทธิ์ของส่วนบุคคล ไม่เกี่ยว แต่ความจริงมันเป็นแบบนั้น ถ้าความจริงเป็นอย่างนั้น ถ้าเกิดเป็นมนุษย์มันจะมีคุณค่ากว่าเขามหาศาล

เวลาหลวงตาท่านเทศน์ประจำ เวลาวัวเวลาควายมันตายไป เนื้อของมันยังเป็นประโยชน์กับคนอื่นนะ มนุษย์ตายไป ซากศพมันเหม็นกลิ่นเหม็นคาว เขาต้องไปเผาทิ้ง เวลาตายไปแล้วไม่มีสิ่งใดเป็นประโยชน์เลย นี่พูดถึงธาตุ ๔

แต่ปัญญาๆ มนุษย์สร้างคุณงามความดี ดูมนุษย์เป็นผู้นำ มันสร้างความร่มเย็นเป็นสุข สร้างความสงบสุขของสังคม แล้วมนุษย์ ถ้าพูดถึงชำระล้างกิเลสตัณหาความทะยานอยาก เนื้อนาบุญของโลก

คนทุกข์คนจนเขาเรียกร้องที่ทำกิน เขาบอกว่าที่เขาทุกข์เขาจนเพราะเขาไม่มีที่ทำกิน ถ้าเขามีที่ทำกิน เขาจะไม่ทุกข์ไม่ร้อนขนาดนั้น มนุษย์เราทำมาหากินเลี้ยงปาก แต่ไม่เคยเจอภวาสวะ ภพ สถานที่ ที่ทำคุณงามความดีของใจ สัมมาสมาธิจะเข้าไปสู่ภวาสวะ เข้าไปสู่ฐีติจิต เข้าไปสู่ถึงจิตของตัวเอง นั่นแหละที่ทำกิน ที่ทำกินนะ จิตสงบแล้วยกขึ้นสู่วิปัสสนา มันจะแยกแยะของมัน มันจะเกิดคุณงามความดีของมัน มันจะเกิดคุณธรรม นี่ที่ทำกิน สมถกรรมฐาน ฐานที่ตั้งแห่งการงาน

คนทุกข์คนจนเขาเรียกร้องนะว่าเขาทุกข์เขายาก เขาไม่มีที่ทำกิน เขาขอที่ทำกินๆ ไอ้ของเรามีภวาสวะ มีภพในหัวใจ แต่ไม่รื้อค้น ไม่ค้นคว้าของเราขึ้นมาเอง ถ้ารื้อค้นก็รื้อค้นไม่เจอ ไปเช่าที่เขา เขาคิดแพงๆ ทำแล้วไม่คุ้มกับการลงทุน

นี่ก็เหมือนกัน เราไม่เคยเห็นภวาสวะ ไม่เคยเห็นภพชาติของเรา ไปเชื่อเขา เขาชักนำกันไป หลงทิศหลงทางไปหมดเลย แต่ถ้าเรามีที่ทำกินของเรา ก็ที่ทำกินเราอยู่นี่ หัวใจเราอยู่นี่ กำหนดพุทโธๆ ปัญญาอบรมสมาธิ จิตมันสงบเข้ามาแล้ว ที่ทำกินของเรา หัวใจของเรา ถ้าเราทำคุณงามความดีของเรามันเกิดที่นี่ไง ถ้ามันเป็นประโยชน์เป็นประโยชน์อย่างนี้

ธรรมะย่อมชนะอธรรม แล้วธรรมะมันคืออะไรล่ะ ธรรมะคือมรรคญาณ ธรรมะคือศีล สมาธิ ปัญญา ถ้ามีปัญญา มันรู้แจ้งของมันอย่างนี้แล้วมันจะเชื่อใคร เขาหลอกลวงไปอย่างไรก็ไม่ไปกับเขา เพราะของฉันอยู่นี่ บ้านฉันอยู่นี่ บ้านเรือนของฉันอยู่นี่ ทรัพย์สมบัติฉันอยู่นี่ อยู่ในหัวใจของเรา ปัจจัตตัง สันทิฏฐิโกในหัวใจนี้ อันนี้มันสัจจะความจริงไง ธรรมะย่อมชนะอธรรม

เราทำคุณงามความดีไป สิ่งที่มันจะมีกระทบกระเทือนมันธรรมดา ดูสิ ดูชาววัชชีบุตร พระที่มีความเห็นผิดต่างๆ เยอะแยะไปหมด นี่ก็เหมือนกัน ในสังคมมันต้องมีอย่างนี้ทั้งนั้นแหละ เราจะสร้างคุณงามความดีของเรา เราจะทำคุณงามความดีของเรา ถ้ามันจะมีผลเพราะการทำคุณงามความดี อันนั้นก็เป็นวิบากกรรม กรรมของสัตว์ สัตว์มันต้องมีวิบากกรรมอย่างนั้น แต่จะต้องทำคุณงามความดี ธรรมะย่อมชนะอธรรม ธรรมะต้องแสดงตัวของมันแน่นอน ช้าหรือเร็วเท่านั้น ธรรมะย่อมชนะอธรรม เอวัง